Asia update

วันพฤหัสบดีที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2555

เชิญร่วมกิจกรรมเปิดตัวหนังสือใหม่ "จักรภพ เพ็ญแข"





เชิญร่วมงานเปิดตัวหนังสือเล่มล่าสุดของ “คุณจักรภพ เพ็ญแข”
วันอาทิตย์ที่ 28 ตุลาคม 2555
                      เวลา 13.00-16.00 น.                     
ร้านทีพีนิวส์ (TPNews) ชั้น 4 (หน้าลิฟต์แก้ว) อิมพีเรียลลาดพร้าว

วิทยากรรับเชิญ... คุณวัฒน์ วรรลยางกูร
 พูดคุยในประเด็น “นักเขียนกับเสรีภาพทางการเมือง”
และวิดีโอลิ้งค์ “คุณจักรภพ เพ็ญแข” เจ้าของผลงาน

ผู้ดำเนินรายการรับเชิญ...คุณสุมาลัย มัชแมน
(โปรดิ๊วเซอร์รายการโทรทัศน์/นักพากย์อิสระ)

                               แขกรับเชิญ... แม่น้องเกด, คุณสุชาติ นาคบางไทร, ฯลฯ

*************************************************************************************************************


วันอาทิตย์ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2555

คดีสวรรคต ร.8 โดย ดอม ด่านตระกูล




การศึกษาประวัติศาสตร์หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 เพื่อให้เข้าใจถึงโครงสร้างการเมืองไทยและการเคลื่อนไหวของบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์อย่างครอบคลุมรอบด้าน จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องศึกษาเรื่องคดีสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล

เนื่องจากสถานการณ์นี้ทำให้เราสามารถเชื่อมโยงหลายเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์เข้าด้วยกัน และนำไปสู่ความเข้าใจสภาวะการเมืองไทยในปัจจุบันได้กระจ่างชัดขึ้น

เพราะคดีนี้เป็นโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ของชาติ แต่กลับถูกกลุ่มต่อต้านนายปรีดี พนมยงค์ อาศัยร่มเงาของสถาบันอันสูงสุดที่ผู้ใดจะละเมิดมิได้และช่องว่างของคดีนำมาเป็นเครื่องมือใช้กระบวนการสร้างพยานเท็จใส่ร้ายป้ายสีทางการเมือง
จนทำให้เกียรติประวัติของนายปรีดีที่เป็นนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น รวมทั้งเรือเอกวัชรชัย ชัยสิทธิเวช ผู้ดำรงตำแหน่งเลขานุการนายกรัฐมนตรี ต้องมัวหมอง อีกทั้งทำให้ผู้บริสุทธิ์อีก 3 ท่านคือ นายชิต สิงหเสนี นายบุศย์ ปัทมศริน และนายเฉลียว ปทุมรส ต้องถูกประหารชีวิต

ค่ำวันที่ 9 มิถุนายน 2489 หลังจากในหลวงรัชกาลที่ 8 เสด็จสวรรคต นายปรีดีได้แจ้งประธานรัฐสภาเพื่อเรียกประชุมสมาชิกรัฐสภาเป็นการด่วนเพื่อแจ้งให้ที่ประชุมทราบ และมีสมาชิกสภาหลายท่านต้องการซักถามถึงรายละเอียด ซึ่ง พล.ต.ท.พระรามอินทรา อธิบดีกรมตำรวจ ได้ตอบข้อซักถามในแต่ละประเด็น แต่ดูเหมือนจะยังไม่เป็นที่พอใจแก่สมาชิกสภาบางส่วน แต่ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ส.ส.พระนคร กล่าวเพื่อตัดบทว่า “...ให้รอรัฐบาลทำแถลงการณ์โดยละเอียด ขออย่าให้มีการพิสูจน์หรือพลิกพระศพกันที่นี่...”

ที่ประชุมจึงได้ยุติการซักถาม

รัฐบาลไม่ได้มีเจตนาจะปกปิดเงื่อนงำ ความดำมืดใดๆในคดีสวรรคต หากเพียงต้องการถวายพระเกียรติแด่องค์พระมหากษัตริย์ จึงได้ออกแถลงการณ์ไปตามที่พระบรมวงศานุวงศ์ชั้นสูงเห็นชอบ (แถลงการณ์ว่าเป็นอุปัทวเหตุ) ดังที่หม่อมเจ้าสกลวรรณากร วรวรรณ ซึ่งอยู่ในวันนั้นด้วยเช่นกัน ได้ประทานให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์เสียงไทย ฉบับวันที่ 28 มิถุนายน 2489 ตอนหนึ่งว่า

“...ทีแรกรัฐบาล โดยเฉพาะหลวงประดิษฐ์มนูธรรม ก็ได้ตั้งใจไว้ว่าจะชันสูตรพระบรมศพ แต่เจ้านายชั้นผู้ใหญ่ รวมทั้งสมเด็จพระราชชนนีด้วย ท่านไม่ชอบที่จะให้ทำเช่นนั้น เหตุผลหรือ? ท่านไม่ได้บอกตรงๆว่าท่านไม่ยอม แต่ท่านไม่ชอบ เพราะพระเจ้าอยู่หัวสวรรคตไปแล้วจะไปพลิกศพชันสูตรอะไรกันให้ทุเรศกันไปอีก กรมขุนชัยนาทฯ พระองค์ท่านก็รับสั่งยืนยันในวันนั้นว่าเอ็กซิเด็นท์...”

เนื่องจากไม่สามารถชันสูตรพระบรมศพให้เป็นที่กระจ่างแจ้งได้ ฝ่ายต่อต้านนายปรีดีจึงสบโอกาสเห็นเป็นช่องทางที่จะทำลายล้างนายปรีดีและรัฐบาล จึงเริ่มต้นแผนการด้วยการโทรศัพท์ไปตามสถานทูตต่างๆในกรุงเทพฯว่าในหลวงรัชกาลที่ 8 ถูกลอบปลงพระชนม์ และปล่อยข่าวลือไปตามวงการต่างๆ ทั้งหนังสือพิมพ์ในตลาด ในหมู่คนขับรถรับจ้าง เมื่อข่าวลือหนาหูขึ้นจึงอาจหาญกระทั่งจ้างคนไปตะโกนในโรงหนังเฉลิมกรุงว่า “ปรีดีฆ่าในหลวง”

ต่อมาตำรวจสันติบาลสืบทราบว่าผู้ว่าจ้างคือ นายเลียง ไชยกาล เป็นสมาชิกคนหนึ่งของพรรคประชาธิปัตย์ ส่วนผู้รับจ้างชื่อว่านายจุก เป็นนักเลงเตร็ดเตร่อยู่แถวเฉลิมกรุงนั่นเอง

เพราะข่าวลือหนาหูมีมากขึ้นทุกที รัฐบาลจึงยุติข่าวลือด้วยการตั้งคณะกรรมการสอบสวนพฤติการณ์ในการที่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลเสด็จสวรรคต ต่อมานายปรีดีลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และหลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ขึ้นดำรงตำแหน่งแทน

เมื่อการสอบสวนดำเนินไปจนใกล้จะสืบถึงตัวการที่แท้จริงในคดี มีข่าวลือแพร่ออกไป ซุบซิบกันถึงผู้นั้นผู้นี้ว่าเป็นผู้ลงมือ แต่คดียังไม่ทันได้ดำเนินการให้เสร็จสิ้นก็เกิดรัฐประหาร 8 พฤศจิกายน 2490 ขึ้นก่อน

หลังรัฐประหาร คณะรัฐประหารเชิญนายควง อภัยวงศ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ มาเป็นนายกรัฐมนตรี และยกเลิกรัฐธรรมนูญฉบับก้าวหน้า พ.ศ. 2489 ที่นายปรีดีและคณะได้ยกร่างขึ้นใหม่นั้นเสีย และนำรัฐธรรมนูญฉบับถอยหลังมาใช้แทน
สาระสำคัญของความถอยหลังที่เด่นชัดคือ ให้วุฒิสภามาจากการแต่งตั้ง รื้อฟื้นอภิรัฐมนตรีสภากลับมาใหม่ ให้อำนาจแก่พระมหากษัตริย์เพิกถอนรัฐมนตรีเป็นการเฉพาะตัวได้ด้วยพระราชโองการ (มาตรา 79)

ที่สำคัญรัฐบาลนี้ได้ตั้งคณะสืบสวนคดีสวรรคตขึ้นใหม่ โดยมอบให้พระพินิจชนคดี (พี่เขยของ ม.ร.ว.เสนีย์และ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช) เป็นประธานคณะกรรมการ ซึ่งสำนวนคดีพุ่งไปที่นายปรีดีเป็นผู้วางแผนลอบปลงพระชนม์

แผนการทำลายรัฐบาลนายปรีดีมาตั้งแต่ต้นเริ่มสำเร็จผลเป็นรูปเป็นร่างชัดเจนด้วยการทำรัฐประหารครั้งนี้เอง และผู้ต่อต้านนายปรีดียังพยายามฟื้นฐานะของกลุ่มอนุรักษ์นิยมขึ้นมา พร้อมกับการโฆษณาทำลายความชอบธรรมของรัฐบาลพลเรือนอย่างต่อเนื่อง เรียกได้ว่าความสำเร็จของคณะรัฐประหารครั้งนั้นส่งผลยาวนานต่อเนื่องมาถึงปัจจุบัน เพราะรัฐธรรมนูญที่คณะราษฎรและประชาชนในยุคหนึ่งเคยยกไว้ในฐานะที่ศักดิ์สิทธิ์กลับหมดความสำคัญลงเพียงแค่ชั่วข้ามคืน และเป็นจุดเริ่มต้นของความคิดที่ว่า

“เมื่อเกิดความขัดแย้งขึ้นในบ้านเมือง ไม่สามารถรอให้รัฐบาลพลเรือนจัดการเองได้ เพราะบ้านเมืองจะวุ่นวาย เป็นความชอบธรรมที่ทหารต้องเข้ามายึดอำนาจเพื่อแก้ไขสถานการณ์ทุกครั้งไป”

*****************************************************************************
ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 8 ฉบับ 382 วันที่ 20-26 ตุลาคม  2555 หน้า 4 คอลัมน์ เปิดฟ้าเปิดตา โดย ดอม ด่านตระกูล

จักรภพกับหนังสือ 01

โฉมหน้าศักดินาไทย :

เล่มนี้คงต้องเรียกด้วยสํานวนปัจจุบันว่าเป็น "ตัวแม่" ของงานนิพนธ์ในทัศนะเดียวกัน จิตร ภูมิศักดิ์ ผู้เกิด "สองครั้ง" คือเกิดครั้งแรกจากท้องแม่และครั้งที่สองหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม พ.ศ.2516 เมื่องานเขียนอัจฉริยะของนักอักษรศาสตร์ผู้นี้ถูกรื้อฟื้นกลับมาสู่ความสนใจอย่างใหญ่หลวงและส่งอิทธิพลทางความคิดอย่างกว้างไกล คือผู้ชี้ว่า สภาพสังคมไทยตลอดมาไม่ได้ต่างอะไรกับสังคมศักดินาในแทบทุกพื้นที่ของโลก ซึ่งเป็นการวิเคราะห์แบบตีแสกหน้าขบวนการโฆษณาชวนเชื่อที่พยายามจะลวงว่าผู้ปกครองสยามและไทยมีความดีงามผิดแผกจากรัฐอื่นๆ เขาทั้งหมด วิธีคิดของ จิตร ภูมิศักดิ์ สามารถนํามาใช้วิเคราะห์ในปัจจุบันได้ จนหลายคนที่มักตั้งคําถามว่าเมืองไทยจะไปทางไหน อาจจะตอบคําถามนั้นด้วยตัวเองได้เลย!
******************************************************************************************
ฝรั่งศักดินา :

แทบจะทันทีที่ "โฉมหน้าศักดินาไทย" กลับมาสร้างกระแสปฏิวัติทางสังคมในการเกิด "ครั้งที่สอง" ของ จิตร ภูมิศักดิ์ นักอธิบายความของระบอบเก่าอย่าง ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ก็ปราดเข้าโต้ทันที ด้วยการเขียนเป็นตอนๆ ตามถนัดและรวบรวมขึ้นเป็นเล่มในเวลาต่อมาในนาม "ฝรั่งศักดินา" งานชิ้นนี้เสมือนเป็นการตะโกนตอบว่าเจ้าและอํามาตย์มิใช่ศักดินา แต่ร่วมทุกข์ร่วมสุขมากับประชาชนอย่างเท่าเทียม เจ้าศักดินาคือเจ้าในยุโรป หาใช่เจ้าไทยไม่ งานโต้ตอบทางการเมืองชิ้นนี้จึงยิ่งส่งผลให้ "โฉมหน้าศักดินาไทย" โด่งดังข้ามยุคสมัยไปอีก ใครมีฉันทาคติอ่านได้ครบทั้งสองเล่ม จะเข้าใจลึกซึ้งทีเดียวว่าเชื้อมะเร็งของรัฐไทยอยู่ตรงไหน และแดงกับเหลืองเถียงอะไรจนแทบจะฆ่ากันตายอยู่ในปัจจุบัน
******************************************************************************************
ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับกรณีสวรรคต ร.8 ฉบับสมบูรณ์ :

งานคลาสสิคชิ้นนี้คือความต้องการของลุงสุพจน์ ด่านตระกูลที่จะอธิบายด้วยความรู้และด้วยหัวใจที่เป็นธรรมว่า การเสด็จสวรรคตอย่างปัจจุบันทันด่วนของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลด้วยพระแสงปืนบนพระที่ในใจกลางพระราชวังหลวงนั้น มีฐานะทางประวัติศาสตร์อย่างไร และถูกใช้เป็นเครื่องมือที่ไม่ต่างอะไรจากเรื่องสามก๊ก จนหลายชีวิตที่บริสุทธิ์ต้องจบสิ้นและบางชีวิตกลับได้รับประโยชน์ในทางการเมืองต่อมา ใครมีทฤษฎีอย่างไรย่อมเป็นสิทธิ์ แต่ถ้าขาดข้อเท็จจริงที่รวมเอาไว้อย่างสมบูรณ์ในเล่มนี้ คงจะอ้างได้ยากว่าเป็นผู้รู้ใน "กรณีสวรรคต"
******************************************************************************************
คู่มือมนุษย์ :

น่าประหลาดใจแท้ๆ ที่การปฏิวัติทางโลกและทางธรรมมาอุบัติขึ้นในปีพุทธศักราชเดียวกันโดยมิได้นัดหมาย นั่นคือการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองสยาม พ.ศ.2475 กับการเกิดสวนโมกข์ของท่านพุทธทาสภิกขุ ณ เมืองไชยา สุราษฎร์ธานี ใน พ.ศ.2475 เช่นกัน ชะรอยว่ารอยแยกแห่งการปฏิวัติทั้งโลกและธรรมจะเป็นสายธารเดียวกันอย่างแยกเสียมิได้มาตั้งแต่บัดนั้น ผมอ่านงานเล่มสําคัญนี้มาแต่เล็กแต่น้อย เรียกได้ว่าโตมากับ "คู่มือมนุษย์" และงานอื่นๆ ของท่านพุทธทาสก็คงไม่ผิด ถึงขนาดไปปฏิบัติธรรมที่สวนโมกข์เมื่อท่านพุทธทาสยังไม่สิ้นมาแล้ว ใครไม่เคยอ่านลองหาเวลาเพิ่มความเป็นมนุษย์ดูหน่อยเถอะครับ
*****************************************************************************************
อาหารรสวิเศษของคนโบราณ :

นี่คือหนังสือไม่กี่เล่มที่ผมเอามา "ลี้ภัย" ข้างๆ ตัวด้วย ไม่ใช่เพราะ น. ณ ปากนํ้า หรืออาจารย์ประยูร อุลุชาฎะ ช่วยในการเปลี่ยนแปลงสังคมไทย หากท่านช่วยให้ผมระลึกถึงการใช้ภาษาไทยแบบมือครูเท่านั้นจะเขียนได้ ภาษาไทยของ น. ณ ปากนํ้า เป็นภาษาไทยของครูไทยที่ไม่ดัดจริต งดงามชัดเจน สื่อสารทรงพลังไม่มีวันลืมเลือน ผมจะห่างบ้านเมืองไปกี่ปีๆ พอจับงานเล่มนี้ทีไร ความเป็นไทยก็พรั่งพรูกลับมาทุกหน เนื้อหาสาระก็ทําให้อร่อยโดยไม่ต้องกิน กะปิเผาไฟ ข้าวผัดง่ายๆ ผัดหอยกะพงตัวอวบๆ (ไม่มียุบ) ไข่เจียวแบบไม่ซํ้า 7 วัน แกงโฮะชั้นยอด ฯลฯ ผมคิดถึงบ้านเมื่อไหร่ก็ได้ท่าน "อาจารย์ยูร" นี่ล่ะครับที่คอยปลอบใจ
*******************************************************************************************
หนังสือทุกเล่มสามารถหาซื้อได้จากร้าน "TPNews" ชั้น 4 ห้างอิมพีเรียลลาดพร้าว สอบถาม โทร. 085-5049944 หรือสั่งซื้อทางอีเมลล์ที่ tpnews2012@gmail.com โอนเงินเข้าบัญชี ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาอิมพีเรียลลาดพร้าว เลขที่ 224-2-42394-3 ชื่อบัญชี น.ส.นุชรินทร์ ต่วนเวช
*******************************************************************************************
เชิญสมัคร SMS-TPNews : ข่าวสั้นผ่านมือถือ ข่าวการเมือง, คนเสื้อแดง, พรรคเพื่อไทย, กิจกรรมเพื่อปชต. ฯลฯ  เข้าเมนูเขียนข้อความ พิมพ์ PN กดส่งมาที่เบอร์ 4552146 สมัครวันนี้ ใช้ฟรี14วัน ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน

วันจันทร์ที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2555

“ร้านหนังสือ...กล่องดวงใจข้างในขบวนการ” โดย "จักรภพ เพ็ญแข"


คอลัมน์ เขียนถึงคนรัก
ตอน “ร้านหนังสือ...กล่องดวงใจข้างในขบวนการ”
โดย จักรภพ เพ็ญแข

ร้านหนังสือมีมนต์เสน่ห์สําหรับคนรักหนังสือ ยากที่จะอธิบายให้ถึงใจว่าทําไม แต่คนรักหนังสือจะหลุดหายเข้าไปได้ง่ายๆ ในร้านหนังสือดีๆ เสมือนว่าโลกหยุดหมุน ปัญหาส่วนตัวในทางโลกถูกทิ้งเอาไว้หน้าร้านจนหมด เหลือแต่มนุษย์ที่ตัดการประดับประดาออกไปจนรู้สึกโปร่งสบาย กระหายแต่ความรู้ ความรัก ความดี และความงาม และมองหนังสือแต่ละปก ข้อความแต่ละบรรทัด ตัวอักษรแต่ละตัวด้วยจิตว่าง จนได้เจอเล่มที่พอใจรักใคร่ ก็คว้ามาสํารวจตรวจสอบอย่างพินิจ สุดท้ายก็ชวนกันไปสนทนาอย่างรื่นรมย์ในที่ที่พึงใจ

พรํ่าพรรณนามาเสียหลายประโยค เพียงเพื่อจะบอกท่านผู้อ่านที่รักว่านี่ล่ะคือเหตุผลข้างต้นของร้านหนังสือใหม่ในบรรณพิภพที่ชั้นสี่ของห้างอิมพีเรียลลาดพร้าว ที่หลายท่านกรุณามาช่วยเปิดและช่วยอุดหนุนและเห็นว่าจะไปชวนพรรคพวกมาเยี่ยมเยียนกันอีก ซึ่งทําให้เราอบอุ่นใจมาก

ร้านหนังสือเล็กๆ ขนาดแค่หนึ่งคูหาแห่งนี้ไม่มีชื่อ ได้แต่ไปยืมชื่อสํานักข่าวร่วมอุดมการณ์มาใช้ เราจึงเรียกกันง่ายๆ ว่า ร้านทีพีนิวส์ (TPNews Bookshop) หรือร้านหนังสือของสํานักข่าวทีพีนิวส์นั่นเอง เหตุผลง่ายๆ มี 2 ข้อคือ ทีพีนิวส์มาจากภาษาสากลว่า TPNews หรือ Thai People's News แปลเป็นไทยได้ตรงใจเราว่า สํานักข่าวประชาชนไทย อันเป็นอุดมการณ์ของเราอยู่แล้ว เราคงไม่ทําอะไรให้ใครอื่นเพราะประชาชนสําคัญที่สุดอยู่แล้ว อีกเหตุผลหนึ่งคือ สํานักข่าวทีพีนิวส์กับร้านหนังสือทีพีนิวส์จะเดินเคียงไปด้วยกันเสมอ เพื่อบริการข่าวสารอันเป็นข้อมูลระยะสั้นและหนังสืออันเป็นข้อมูลระยะยาวอย่างสมบูรณ์ที่สุดตามสติปัญญาความสามารถของเรา

ผมบอกกับ คุณนุชรินทร์ ต่วนเวช ผู้ที่ได้ร่วมทุกข์สุขทางงานสื่อและงานการเมืองมานับสิบปี และยอมมาเป็นผู้จัดการร้านทีพีนิวส์ ณ บัดนี้ว่า ร้านหนังสือเป็นที่รักของเราก็จริงอยู่ แต่ร้านทีพีนิวส์มิใช่มีไว้สนองความต้องการของเรา หากเราหวังให้เติบโตเป็นเครื่องมือรับใช้มวลชนในขบวนการต่อสู้เพื่อสถาปนาระบอบประชาธิปไตยอันแท้จริงต่อไป คุณนุชรินทร์ ทีมงานอาสาสมัครของเรา และตัวผมเองเชื่อมั่นอย่างไม่มีวิจิกิจฉาว่า ประชาธิปไตยต้องอ่านหนังสือ ประชาธิปไตยต้องไม่คิดอย่างโอหังว่าตัวเองมีความรู้จนไม่ต้องแสวงหาเพิ่มเติม ถึงร้านหนังสือเล็กๆ ของเราจะไม่ใช่อะไรมากมาย แต่ก็เป็นสัญลักษณ์ของแหล่งความรู้และการพัฒนาตัวเองอย่างไม่หยุดยั้งของขบวนการ

ในการต่อสู้ทางการเมือง เราจะคิดถึงแต่อํานาจและการช่วงชิงความได้เปรียบทางการเมืองมิได้ เมื่อฝุ่นหายตลบและจางลงไปแล้ว สิ่งที่เราต้องใคร่ครวญเสียแต่บัดนี้คือประชาชนจะร่วมกันดูแลบ้านเมืองนี้อย่างไร เมื่อมองให้ทะลุโวหารทางการเมืองและก้าวผ่านอารมณ์ชั่วแล่นไปแล้ว เราต้องสะสมทั้งข้อมูล ความรู้ และสร้างภูมิปัญญาขึ้นมาเป็นฐาน มิฉะนั้นเราจะถูกยึดอํานาจคืนจากผู้ชํานาญการทั้งหลาย (technocrats) ในฝ่ายตรงข้ามและประชาชนก็จะถูกเหยียดหยามว่า "ไม่พร้อม" เสมอไป ไม่ต่างอะไรจากคณะราษฎร์ที่ถูกโจมตีด้วยวาทกรรมชิงสุกก่อนห่ามมาตลอด วันนี้บรรพบุรุษประชาธิปไตยทําให้เราเห็นแล้วว่าเราต้องพัฒนาสมองของเราก่อนจะคิดพัฒนาประเทศชาติบ้านเมือง เพื่อความเป็นเจ้าของอํานาจที่สมบูรณ์และยั่งยืน อย่าลืมเป็นอันขาดว่าเรากําลังต่อสู้กับผู้มีอํานาจเหนือองค์ความรู้เก่าๆ ในสังคมไทย เพราะเขามีอํานาจมากและมีมานานจน "ปัญญาชน" ต่างสยบยอมอยู่แทบเท้าของเขา และกลับเอา "ความรู้" มาทิ่มแทงประชาชนผู้มิใช่อภิสิทธิ์ชนจน "ความรู้" กลายเป็นเครื่องมือกดขี่ที่ทรงประสิทธิภาพอีกชนิดหนึ่งไป เราจึงต้องฟื้นอํานาจและสิทธิโดยธรรมชาติของเราด้วยการพัฒนาฐานความรู้ของประชาชนและเพื่อประชาชนเอง เลิกเอาของสําเร็จรูปมาใช้เหยียดหยามกันเองว่าใครสูงใครต่ำตามเงื่อนของสถาบันและหลักสูตรต่างๆ (ซึ่งเป็นของเขาทั้งนั้น) เสียทีเถิด

วันเสาร์ที่ 1 กันยายน พ.ศ.2555 ร้านทีพีนิวส์จึงเกิดขึ้นเพื่อมนุษย์ที่แท้ทุกคน ถึงเวลาที่เราจะหยุดค่านิยมของผู้มีการศึกษาแบบจอมปลอมและเริ่มสร้างความรู้เท่าทันขึ้นมาเป็นอาวุธทางปัญญาของเรา ยิ่งครวญครํ่าว่า "เรียนมาน้อย" ยิ่งต้องแสวงหาความรู้จากหนังสือ เว็บไซต์ ผู้ที่มีความรู้มากกว่าเรา เป็นเท่าทวีคูณ ยิ่งลําบากยากจน กระเสือกกระสนต่อสู้ ยิ่งต้องหาโอกาสเพิ่มเครื่องมือทางปัญญาของตนเองมากกว่าคนที่เขาเกิดมาได้เปรียบ

ในร้านนี้มีหนังสือหลายเล่มที่ครั้งหนึ่ง "ต้องห้าม" และเคยถูกยึดถูกนําไปทําลายมาแล้วมากต่อมาก โดยเฉพาะในช่วงหลังการสังหารหมู่ประชาชนเมื่อ 6 ตุลาคม พ.ศ.2519 ยิ่งรู้ว่าเล่มไหนมีอิทธานุภาพขนาดนั้น เราก็ยิ่งได้ความรู้ว่าผู้มีอํานาจยิ่งใหญ่ในบ้านนี้เมืองนี้เขากลัวประชาชนจะรู้อะไร ความตาสว่างในปัจจุบันก็จะเพิ่มขึ้นมาอย่างประมาณมิได้

ก่อนจะทิ้งท้ายให้ท่านได้เห็นบางปกหนังสือและบรรยากาศวันที่พี่น้องของเรามาร่วมเปิดร้านทีพีนิวส์ ผมขอกราบเรียนเชิญทุกท่านด้วยความเคารพให้มาเยี่ยมเยียนกันที่ร้านบ้าง ซื้อไม่ซื้อไม่ใช่ประเด็นหลักของเรื่องเลย ขอให้มาพบหน้าค่าตาและแสดงตนว่าเป็นผู้ร่วมอุดมการณ์กันอยู่ เท่านั้นก็เป็นการเพียงพอ ใครเป็นคนทำหนังสือ อยากนําผลงานตัวเองมาวางที่ร้าน ก็แวะมาบอกกล่าวกันอย่างญาติพี่น้องได้เช่นกัน ใครไม่ว่างจะต่อสายมาหากันก่อนก็หาขัดไม่ ที่หมายเลข 085-5049944 และอีเมล tpnews2012@gmail.com พร้อมทักทายท่านอยู่ทุกเวลา

ขอกราบขอบพระคุณนักคิด นักเขียน เจ้าของร้านและแผงหนังสือทั้งในอดีตและปัจจุบันทุกท่านและทุกกิจการที่นําทางพวกเรามาจนถึงหัวโค้งที่สําคัญของบ้านเมืองในวันนี้.

*******************************************************************
ที่มา : Red Power ฉบับที่ 29